นำเสนอขายโดย บริษัท ซันเดย์ อินส์ จำกัด
เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี 2023 กันแล้ว ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ อากาศสุดแสนจะโรแมนติก เหมาะแก่การจัดทริปท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ พร้อมกับสัมผัสอากาศที่เย็นสบายที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง และแน่นอนว่าการเที่ยวภูเขา ดอย หรืออุทยานแห่งชาติก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วงนี้ทะเลหมอกเริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว บทความนี้ขอรวบรวม 10 จุดชมวิวทะเลหมอกที่ดีที่สุดทั่วประเทศไทย มาให้เพื่อเป็นตัวเลือกแก่ทุกคน
10 จุดชมวิวทะเลหมอกทั่วไทย
1. ภูชี้ดาว จ.เชียงราย
ภูชี้ดาวตั้งอยู่ที่บ้านร่มโพธิ์เงิน ม.11 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย มีลักษณะเป็นสันเขายาวแคบๆ ตรงจุดชมวิวสามารถชมวิวได้แบบพาโนรามา ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ที่ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น "ภูชี้ดาว" นั่นก็คือวิวของยอดเขาที่ชี้ไปยังท้องฟ้า โดยวิวที่นักท่องเที่ยวเห็นคือจะได้ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ที่มีภูเขาสูงต่ำสลับกันเป็นฉากหลัง ซึ่งทำให้เห็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ในการเดินทางจะต้องใช้บริการรถท้องถิ่น 4×4 จากชาวบ้านเท่านั้น โดยคิดอัตราค่าบริการไปกลับคนละ 70 บาท หรือสำหรับใครที่มาเป็นหมู่คณะคิดอัตราค่าบริการแบบเหมาเริ่มต้นที่ 500 บาท เมื่อถึงจุดจอดรถจะต้องเดินเท้าต่อไปบนยอดภูชี้ดาวอีกประมาณ 300 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที
2. บ้านป่าบงเปียง แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
นาขั้นบันไดที่มีชื่อเสียง วิวทิวทัศน์สวย อากาศบริสุทธิ์ แถมยังมีที่พักให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม ทุกอย่างของที่นี่คือลงตัวหมด ไม่ว่าจะเป็นนาขั้นบันไดที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตัดกับวิวภูเขาและป่าไม้ที่สุดแสนจะอุดมสมบูรณ์ นั่นทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นอย่างมาก อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำเมื่อมาเที่ยวที่นี่ คงหนี้ไม่พ้นการชมทะเลหมอกในยามเช้า โดยทุกท่านสามารถชมวิวจากที่พักได้เลย ยิ่งช่วงที่ก่อนไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นจะเป็นภาพที่สวยที่สุด ถือเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีเลยทีเดียว โดยการเดินทางมาที่นี่ แนะนำให้เดินทางกับผู้ชำนาญเส้นทางจะดีกว่า เนื่องจากเส้นทางเป็นเส้นทางที่ขับขี่ค่อนข้างยาก โดยส่วนมากจะใช้บริการกับคิวรถสองแถวจอมทอง - แม่แจ่ม หรือใครจองที่พักที่บ้านป่าบงเปียง สามารถแจ้งที่พักให้รถมารับได้ จะสะดวกและปลอดภัยกว่า
3. ผาชะนะได จ.อุบลราชธานี
เมื่อพูดถึงจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว หลายท่านคงทราบกันดีกว่าจังหวัดนี้จะพบแสงอาทิตย์เป็นที่แรก ซึ่งลักษณะโดดเด่นของที่นี่ ที่ทำให้เป็นที่จดจำและดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามานั่นก็คือผาที่ยื่นออกมา สามารถมานั่งถ่ายรูปเช็คอินได้ พร้อมทั้งวิวทิวทัศน์ก็สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นป่าสนสองใบที่ขึ้นอย่างหนาแน่น อีกทั้งยังมีภูเขาขึ้นสลับที่ดูสวยแปลกตาอีกด้วย ซึ่งถ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็ห้ามพลาดที่จะมาชมทะเลหมอก โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาจับจองพื้นที่สำหรับชมทะเลหมอกในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่าท่านใดที่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ เปรียบเสมือนการเพิ่มพลังชีวิตและลบล้างพลังงานลบๆ ออกไป ใครที่จะมาแนะนำมาช่วงตุลาคม-กุมภาพันธ์ จะได้ชมทั้งทะเลหมอกและได้ชมดอกไม้ที่เบ่งบานในช่วงนี้ด้วย สำหรับท่านใดที่จะเดินทางมาที่นี่ จะแบ่งการขึ้นผาชะนะได เป็น 2 รอบ คือรอบเช้าและรอบบ่าย โดยในแต่ละรอบจะมีการจำกัดจำนวนคน แนะนำว่าให้ไปรอตั้งแต่ตอนเช้า เพราะไม่มีการจองคิวล่วงหน้า ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการวางแผนดีๆ
4. ผาหำหด จ.ชัยภูมิ
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำหรับชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดในภาคอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติไทรทอง จ.ชัยภูมิ จุดเด่นของที่นี่จะเป็นบริเวณผาที่มีชะง่อนผายื่นออกไป สามารถไปยืนถ่ายรูปได้ แต่ก็มีข้อควรปฏิบัติอยู่ เพราะสถานที่ตรงนี้มีความอันตราย สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ตรงนี้ทุกท่านต้องระมัดระวังในการขึ้นไปยืนกันด้วย ปกติโดยทั่วไปช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเหมาะกับการมาที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าได้ช่วงเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสม ทุกท่านจะสามารถเห็นทะเลหมอกไปทั่วบริเวณที่ปกคลุมทั้งชัยภูมิเลยทีเดียว ในการเดินทางมาที่นี่จากตัวเมืองชัยภูมิ ใช้ทางหลวงชัยภูมิ-นครสวรรค์ ประมาณ 70 กิโลเมตร หลังจากนั้นให้เลี้ยวขวาบ้านท่าโป่งและตรงไปยังที่ทำการอุทยานฯ อีก 7 กิโลเมตร
5. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย
เป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงโด่งดังและนักท่องเที่ยวปักไว้เป็นจุดมุ่งหมายในการมาเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศเลย ด้วยความที่มีสภาพอากาศเย็นสบายตลอดปี ซึ่งถ้าใครจะมาที่นี่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะจำเป็นต้องมีการเดินทางเท้าที่มีความชันถึง 9 กิโลเมตร แต่ก็มีจุดให้แวะพักเหนื่อยตลอดเส้นทางอีกด้วย เมื่อเดินทางถึงจุดชมวิวแล้ว ทุกท่านสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เย็นสบาย พร้อมกับช่วงเวลาเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะเหมาะแก่การชมทะเลหมอกมากที่สุด โดยจุดชมวิวทะเลหมอกยอดฮิตก็จะเป็นผานกแอ่น ช่วงเวลาก็เริ่มตั้งแต่ 5.00 น. เป็นต้นไป โดยการเดินทางมาที่นี่จากตัวเมืองจังหวัดเลย ขับรถไปตามทางหลวงเลย-ขอนแก่น จากนั้นให้แยกไปตามทางหลวงหมายเลข 2019 จะพบทางเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
6. ดอยหัวหมด อุ้มผาง จ.ตาก
เป็นยอดดอยภูเขาหินปูน ที่มีจุดชมทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง และยังเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่นี่นั่นก็คือบนดอยจะมีอุณหภูมิค่อนข้างเย็นและมีลมพัดตลอดเวลา อีกทั้งยังสามารถชมวิวได้ 180 องศา นั่นทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทะเลหมอกและเห็นอำเภออุ้มผางทั้งหมดอยู่ด้านล่างได้แบบชัดเจน ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการชมทะเลหมอกคือ ตั้งแต่ 05.00 - 06.00 น. ในการเดินทางมาที่นี่จากตัวอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1090 มุ่งหน้าไปบ้านปะละทะ ขับต่อไปเรื่อยๆ ผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ก็จะถึงบริเวณที่จอดรถเชิงดอยแล้ว
7. ภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก
สำหรับนักท่องเที่ยวท่านไหนที่เดินทางมาที่นี่ จะได้พบกับธรรมชาติที่สวยงามเหมือนไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย ยิ่งช่วงปลายฝนต้นหนาวใกล้เข้ามาถึง ใบเมเปิลสีแดงก็จะขึ้นเต็มต้น จนทำให้ที่นี่เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางในการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศเช่นกัน ด้วยความที่อากาศเย็นตลอดทั้งปี จึงทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ จึงทำให้ทะเลหมอกของที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วิวทิวทัศน์ตรงหน้าจะเห็นหมอกไหลไปตามช่องว่างระหว่างภูเขา สวยเพลินตา กับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก ซึ่งจุดที่คนนิยมมาชมทะเลหมอกกันจะอยู่บริเวณผารักยืนยง เป็นเนินเขาลาดชันมองเห็นทุ่งหญ้าแบบสไลด์ ได้ภาพสวยที่สุด โดยการเดินทางมาที่นี่จากทางตัวเมืองพิษณุโลก ก็สามารถใช้เส้นทางพิษณุโลก-หล่มสัก เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 68 เลี้ยวซ้ายที่บ้านแยง เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2013 ขับต่อไปอีกประมาณ 28 เมตรจะถึงอำเภอนครไทย ท้ายที่สุดให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2331 แล้วขับไปประมาณ 31 กิโลเมตรก็จะเห็นจุดหมาย
8. ภูลังกา จ.พะเยา
มาเที่ยวเมืองรองของภาคเหนือกันบ้าง เพราะมาที่นี่แล้วจะได้สัมผัสทั้งทะเลหมอกและชมพืชพรรณธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม โดยลักษณะภูมิประเทศของที่นี่เป็นยอดเขาที่สลับซ้อนกัน ช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้เหมาะกับการมาเยี่ยมชมมากที่สุด เพราะจะได้ชมความงามของทะเลหมอกและแสงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และกิจกรรมหลักๆ ของที่นี่จะเป็นการเดินขึ้นดอย กางเต็นท์นอนดูดาว อีกทั้งที่นี่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งลานจอดรถ ลานกางเต้น จุดชมวิว และป้อมยามไว้ดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ท่านใดที่สนใจมาเที่ยวที่นี่ก็อุ่นใจได้เลย ในการเดินทางมาที่นี่จากตัวเมืองพะเยาใช้ถนนสายพะเยา-ปง เมื่อถึงอำเภอเชียงคำให้เดินทางต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ตามถนนเส้นทางหลวงหมายเลข 1148 จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปทางทิศเหนือ ขับต่อไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 12 กิโลเมตร ก็ถึงที่หมายแล้ว
9. ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์
ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีบรรยากาศดี ภูเขาสวย และเป็นหนึ่งใน UNSEEN THAILAND ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนอกจากวิวสวยแล้ว อากาศที่เย็นตลอดปี แถมยังสามารถมาเที่ยวพักผ่อนช่วงไหนก็ได้ ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาแบบไม่ขาดสาย อีกทั้งที่นี่ยังมีจุดชมทะเลมากนับสิบแห่ง นักท่องเที่ยวสามารถเลือกภาพที่ต้องการเห็นได้แล้วปักหมุดไปยังแต่ละจุดชมวิวได้เลย จุดเด่นของที่นี่จะมีทุ่งกะหล่ำปลี สวนดอกไม้เมืองหนาว จึงส่งให้บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความโรแมนติก แล้วทะเลหมอกที่นี่ผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตามาก สวยสมคำร่ำลือจริงๆ ในการเดินทางจากจังหวัดเพชรบูรณ์ ขับตามทางหลวงหมายเลข 21 ตรงไปอำเภอหล่มสัก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางเลี่ยงเมืองหล่มสัก มุ่งหน้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ตรงไปสักระยะ จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 2372 ขับตามป้ายบอกทางไปอุทยานภูหินร่องกล้าและภูทับเบิก จากนั้นเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ถนนหมายเลข 2331 เมื่อไปถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตรงนี้จะมีแยกทางขวามือ ให้เลี้ยวเพื่อไปยังภูทับเบิกอีกประมาณ 6 กิโลเมต
10. เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
สถานที่ชมหมอกใกล้กรุงเทพฯ เดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศคนละขั้วกับตัวเมือง ได้ความสงบ ผ่อนคลาย และชมวิวทิวทัศน์ไปพร้อมๆ กัน อากาศที่นี่ก็จะมีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา ยิ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับอากาศสุดแสนจะเย็นสบาย พร้อมกับทะเลหมอกที่กระจายตัวสุดลูกหูลูกกตา อีกทั้งยังสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับทะเลหมอกได้อีกด้วย เป็นวิวที่อยากแนะนำ เพราะจะทำให้ได้เห็นทะเลหมอกสีทองสวย และได้รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า มีประโยชน์กับร่างกายอีกด้วย ในการเดินทางจากถนนพหลโยธิน ผ่านรังสิตประตูน้ำพระอินทร์ และจังหวัดสระบุรี เลี้ยวขวาเข้าถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ก่อนถึงอำเภอปากช่อง บริเวณกิโลเมตรที่ 23 จะพบศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศาลเจ้าพ่อ และเดินทางต่อไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ รวมระยะทางประมาณ 205 กิโลเมตร
มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ยังลังเลว่าจะดูทะเลหมอก ที่ไหนดี ก็คงจะได้ไอเดียในการจัดทริปท่องเที่ยวชมทะเลหมอกกันแล้ว นอกจากการวางแผนการเดินทาง จัดเก็บสัมภาระแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ ประกันเดินทางในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นแผนสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน จะได้รับการช่วยเหลือ ชดเชย และเยียวยาอย่างเต็มที่
ประกันเดินทางในประเทศ ดีชัวรันส์
ขอแนะนำประกันเดินทางในประเทศ จาก ดีชัวรันส์ เริ่มต้นเบี้ยประกันเพียง 48 บาท แต่ได้รับความคุ้มครองในกรณีการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงสูงสุด 2,000,000 บาท และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 200,000 บาท อีกทั้งคุ้มครองในกรณีที่ต้องที่การเคลื่อนย้ายฉุกเฉิน สูงสุด 500,000 บาท รวมถึงคุ้มครองสัมภาระและทรัพย์สินสูงสุด 25,000 บาท เรียกได้ว่า คุ้มครองครบและคุ้มครองทันที ตั้งแต่ก้าวแรก จนจบทริป
ในการเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือในประเทศเอง การมีประกันเดินทาง จะช่วยให้อุ่นใจทุกครั้งขณะเดิน ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการคุ้มครองในกรณีฉุกเฉิน และไม่ต้องเบียดเบียนกับทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งในวันนี้ ก็มีดีลสุดพิเศษจากดีชัวรันส์ ทำประกันเดินทางเดือนนี้ ลดพิเศษ 15% สามารถซื้อไว้ได้เลย เหมาะสำหรับการวางแผนเที่ยวช่วงปีนี้ ห้ามพลาด
ทำไมต้องมีประกันเดินทางติดตัวทุกทริป
ช่วงปีที่ผ่านมา ผู้คนได้มีการท่องเที่ยวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะทั้งในประเทศหรือต่างประเทศเองก็เช่นกัน ทำให้การเดินทางเพิ่มขึ้นไปด้วย แน่นอนว่าการในเดินทางหนึ่งครั้งอาจจะพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
ที่เที่ยวต่างประเทศแนะนำ สำหรับวันหยุดยาว
เดือนแห่งเทศกาลเฉลิมฉลอง แถมยังพ่วงมาด้วยวันหยุด ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พักผ่อนของใครหลายคน ซึ่งแพลนของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน บางท่านอาจจะไม่ออกไปไหนเพื่อเติมพลังให้กับตนเอง...
ซื้อประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่ไหนดีให้คุ้มและเหมาะกับตัวเราที่สุด
“อุบัติเหตุ” เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ถึงแม้ว่าจะระมัดระวังขนาดไหน ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ สามารถเกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ...